วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สุดยอดเทคนิค ตอน "เปลี่ยน keyword ไม่ทำเงิน ให้ทำเงินยังไงดี




สุดยอดเทคนิค ตอน "เปลี่ยน keyword ไม่ทำเงิน ให้ทำเงินยังไงดี



สวัสดีครับทุกคน พอดีว่าเป็นน้องใหม่เข้ามาเก็บความรู้จากบอร์ดก็เยอะ ก็เลยอยากจะแบ่งปันบ้างครับ อยากจะบอกว่าบอร์ดนี้อบอุ่น ความรู้เยอะ และน่าอยู่มาก ก็เลยมาฝากเนื้อฝากตัวครับ เอาล่ะผมขอเริ่มตอบแทนบอร์ดเลยละกัน แต่ว่าก็เกร็งๆนิดนึง บอร์ดนี้เทพเยอะจริงๆ

----------------------------

ผมคิดว่าหลายคนคงจะเจอกับปัญหานี้นะครับ ที่ว่า หาคีย์เวิร์ดมาได้ แต่มันไม่ทำเงิน จะทำยังไงดี

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า โดยธรรมชาติของคนใช้ google เป็นแบบนี้

ลำดับที่ 1 Browse - จะใช้คีย์เวิร์ดทั่วๆไปประมาณ 1 - 2 คำ ค้นหาสิ่งที่เค้าต้องการ เช่น used car, hdtv อะไรประมาณนี้ ซึ่งพวกนี้จะเป็นคีย์เวิร์ดแบบ Mass ซึ่งส่วนมาก conversion จะน้อยมาก

ลำดับที่ 2 Compare - เค้าก็จะใช้คีย์เวิร์ดที่หลายคำหน่อยในการเปรียบเทียบสินค้าครับ เช่น compare used car อะไรประมาณนี้ คีย์เวิร์ดแบบนี้จะมี conversion เพิ่มขึ้นอีกนิดส์นึง

อันดับที่ 3 Buy - นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้า หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "ปิดการขาย" นั่นเองครับ ซึ่งคีย์เวิร์ดพวกนี้จะเป็นคีย์เวิร์ดที่มี conversion ที่สูงมาก และจะประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ด 3 - 5 พยางค์ ด้วยกัน หรือที่พวกเราเรียกกันว่า niche long tail คีย์เวิร์ดพวกนี้ พวกเรามักจะหากันเอาเป็นเอาตาย เลยทีเดียว แต่ที่น่าแปลกใจคือ คู่แข่งน้อยมาก (บางทีมีผมโฆษณาอยู่คนเดียว เหงาเลย)

คราวนี้เราจะมาดูว่า เจ้าตัวคีย์เวิร์ดที่มี conversion น้อยๆในข้อ 1 นั้น เราจะทำให้มันเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินได้ยังไง

ลองคิดนอกกรอบครับ มันไม่ใช่แค่เราโฆษณาใน adwords แล้วส่งลูกค้าไปที่หน้าของเจ้าของสินค้าเท่านั้น

ลองเปลี่ยนเป็น google --> landing page ที่ประกอบด้วย บอกเพื่อนเกี่ยวกับเว็บนี้, ใส่อีเมลล์ของคุณเพื่อรับข่าวสารฟรี พวกนี้ทำเงินได้หมดเลยครับ ขึ้นอยู่กับมันจะใช้ยังไง

สมมตินะครับสมมติ สมมติว่า

เดือนที่ 1
- นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000

- นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้ 1,000 คน โดยขายสินค้าไม่ได้เลย


เดือนที่ 2
- นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000 เหมือนเดือนที่ 1

- นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้อีก 1,000 คน รวมฐานข้อมูลลูกค้าเป็น 2,000 คน และดูแลลูกค้าด้วยข่าวสารที่ลูกค้าชอบ สุดท้ายขายสินค้าแค่ 1 ชิ้น แต่รวมรายได้ $500 ในเดือนนั้น


เดือนที่ 3
- นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000 เหมือนเดือนที่ 1

- นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้อีก 1,000 คน รวมฐานข้อมูลลูกค้าเป็น 3,000 คน และดูแลลูกค้าด้วยข่าวสารที่ลูกค้าชอบ สุดท้ายขายสินค้าเพิ่มเป็น 10 ชิ้น แต่รวมรายได้ $10,000 ในเดือนนั้น


ลองคิดดูนะครับ ถ้านาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าไปเรื่อยๆ แล้วมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ใหญ่มาก แล้วเค้าขายสินค้า 100 ชิ้น มันจะเกิดอะไรขึ้น


คือแนวคิดนี้ผมเอามาจาก Robert T Kiyosaki ครับ คนที่เขียนหนังสือชุด "พ่อรวยสอนลูก" เค้าบอกว่า "คนรวยมองหาเครือข่าย ในขณะที่คนทั่วไป มองหางานทำ"

ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราทำแบบที่เราเคยทำกันรวมทั้งผมด้วย คือส่งลูกค้าไปที่เว็บเจ้าของสินค้าทุกเดือนๆ มันเปรียบเหมือนผมเป็นร้านค้าทั่วๆไป ที่ต้องทำงานหนักทุกวันๆ ตื่นเช้าเปิดร้าน เฝ้าร้าน ค่ำปิดร้าน นี่คือสิ่งที่เราเห็นกันทุกวันแต่ไม่เคยเอะใจเลย

แต่ลองดู 7-Eleven สิครับ เค้าก็เป็นร้านค้าเหมือนกัน แต่ผมถามว่า บริษัท 7-Eleven เค้าขายสินค้าที่อยู่ในร้าน หรือว่าเค้าขายระบบ 7-Eleven เพื่อสร้างเครือข่ายให้เค้า ลองคิดดูดีๆนะครับว่า
- 7-Eleven จะต้องมาง้อคุณเพื่อเอาสินค้าของคุณไปขาย หรือ...
- คุณต้องไปง้อ 7-Eleven ให้เอาสินค้าของคุณไปขาย

คุณลองคิดดูนะครับว่าตอนนี้ 7-Eleven มีกี่สาขาทั่วประเทศไทย
- ถ้าคุณเอาลูกอมเม็ดละ 1 บาทไปวางที่ 7-Eleven สมมติว่า 1,000 สาขา เฉลี่ย 1 ชม. ขายได้สาขาละ 1 เม็ดก็เท่ากับ 1 x 1,000 = 1,000 บาท
- ถ้าคิดเป็น 1 วันก็จะเท่ากับ 24ชม. x 1,000 = 24,000 บาท ต่อวัน
- 1 เดือนเท่ากับ 24,000 x 30วัน = 720,000 บาท ต่อเดือน

พระเจ้าจอร์จ คุณขายลูกอมเม็ดละ 1 บาท ได้ยอดขายเดือนละ 720,000 บาท/เดือน นี่แค่ลูกอมเม็ดละ 1 บาทนะครับ แล้วถ้าเป็นชาเขียวขวดละ 20 บาทจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนที่สินค้ายังไม่ขึ้นราคา ผมรู้มาว่าต้นทุนของชาเขียวแค่ขวดละ 3 บาทด้วยซ้ำไป(ถ้าผิดขออภัย)

มาถึงตรงนี้คุณเห็นพลังของการมีเครือข่ายอยู่ในมือรึยังครับ ตอนนี้เราเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของ 7-Eleven แล้วนะครับ ถ้าคุณมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือ 1 คน เท่ากับคุณมี 7-Eleven 1 สาขาแล้ว ผมเชื่อว่านักการตลาด 1 คนหาข้อมูลลูกค้า 1,000 คนไม่ใช่เรื่องยาก อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่มันก็คุ้มค่ามากเลยครับ จริงๆแล้วผมมีวิธีที่ไม่ต้องเสียเงินค่า PPC อีกด้วย เรียกกว่ายืมมือคนอื่นเอาข้อมูลลูกค้ามาให้เรา โดยที่เราเหนื่อยทีเดียว ทั้งเราทั้งลูกค้าทั้งคนที่ทำงานให้เรา แฮปปี้หมดทุกฝ่าย ลองดูที่เว็บเจ้าของสินค้า clickbank สิครับ บางเว็บจะมีให้กรอกข้อมูลเพื่อรับข่าวสารฟรีอีกด้วย นี่ไง ยืมมือคนอื่นหาข้อมูลลูกค้าให้เรา

และข้อดีของ Email Marketing ก็คือว่า (เปิดเผยซะแล้วว่ามันคืออะไร) เราสามารถนำเสนอโฆษณาของเราที่พ่วงท้ายไปกับบทความดีๆ ได้หลายครั้ง
- นำเสนอครั้งที่ 1 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า
- นำเสนอครั้งที่ 2 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า
- นำเสนอครั้งที่ 3 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า
- นำเสนอครั้งที่ 4 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า
- นำเสนอครั้งที่ 5 เอ๊ะ เห็นบ่อยแล้ว มันเป็นยังไง ลองคลิกเข้าไปดูซิ โอ๊ว งั้นๆแหละ ไม่เอาดีกว่า (ลูกค้าเข้าไปดูเว็บ browser เก็บ cookie ได้ xx วัน)
- นำเสนอครั้งที่ 6 ลูกค้าเบื่อและ ยกเลิกการรับข่าวสารจากเรา
- xx วันต่อมา ลูกค้าตื่นเช้ามาอากาศหนาว ไม่สบาย นึกได้ โอ๊ว จำได้ว่าเมื่อ xx วันที่แล้ว เข้าเว็บขายวิตามินซีนี่นา แล้วเค้าบอกว่า มันช่วยให้ดีขึ้นจากอาการไข้หวัดได้ เข้าไปซื้อดีกว่า พอลูกค้าเข้าไปในเว็บ แล้วเว็บนั้นมี cookie ของ aff id ของเราพอดี ลูกค้าซื้อสินค้า สุดท้ายเราได้ตังค์

โปรดติดตามตอนต่อไป...

---> แล้วเราจะส่ง newsletter แบบไหนไปให้ลูกค้าดีล่ะ ลูกค้าถึงจะเปิดอ่านทุกครั้ง เพื่อจะเพิ่มโอกาสในการขายของเรา?
>>>>>>>

เพิ่มเติมอีกครับ หลังจากที่ผู้ใช้คลิกผ่านโฆษณาของเราเข้ามาแล้วนั้นเท่ากับเราเสียเงินแล้วใช่มั๊ยครับ และถ้าซื้อสินค้าก็เท่ากับ Traffic ที่เราได้มานั้นมันคุ้มค่าแล้ว และจะให้คุ้มค่ามากกว่าก็คือว่า เราต้องเก็บรายละเอียดลูกค้าเอาไว้ให้ได้

ไม่รู้ว่ามีใครเคยเจอแบบผมรึเปล่า อยู่ดีๆก็มีคนโทรมาขายบัตรเครดิตให้กับเรา ถ้าเราทำไม่ได้ ก็จะเสนอสินค้าตัวอื่นที่มันเกี่ยวข้องกัน เช่น บัตรกดเงินสด อะไรประมาณนี้ และก็ไม่ได้โทรมาครั้งเดียวด้วย ปีนึงจะโทรมาประมาณ 2 รอบ

ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ มีบริษัทแห่งนึงชื่อว่าบริษัท A ก็แล้วกัน ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว ขายสินค้าเกี่ยวกับ Electronic โดยขายสินค้าผ่านเว็บและผ่านหน้าร้าน โดยเมื่อมีคนเข้ามาซื้อสินค้าผ่านหน้าร้านปกติ เค้าก็จะเก็บข้อมูลไว้ โดยเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของเว็บไซต์ด้วย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ จากยอดขายของบริษัท A นั้น สินค้าหลักที่บริษัทขายก็คือ Electronic มียอดขายแค่ 30% ของบริษัทเท่านั้นเอง

เป็นเรื่องที่น่าแปลกมั๊ยครับว่า บริษัทขายสินค้าเกี่ยวกับ Electronic แต่สินค้ากลุ่มนี้มียอดขายแค่ 30% ของบริษัท และถ้าเข้าไปดูระบบภายในของเค้าจริงๆนั้น ก็จะรู้ว่า ยอดขายอีก 70% นั้น มาจากการโทรไปหาลูกค้าเพื่อเสนอ "สินเชื่อในการซื้อสินค้าอื่นๆที่เกี่ยวข้อง" และแน่นอนครับ มีสินเชื่อก็ต้องมีดอกเบี้ย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมยอดขายของสินค้าหลักมีแค่ 30% เท่านั้นเอง

พูดถึงตรงนี้ผมอยากจะบอกว่า "รายชื่อลูกค้าคือสมบัติล้ำค่า" โดยที่คุณอาจจะเคยเจอมาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ตัวเลย ยกตัวอย่างง่ายๆก็เว็บของคุณเผ่า trawut.com ใครที่รับ Newsletter ของคุณเผ่าจะเห็นด้านล่างว่ามีอะไรพ่วงมาด้วย

จากสถิติที่ใครวัดเอาไว้ก็ไม่รู้ บอกเอาไว้ว่า "การดูแลลูกค้าเก่านั้น ทำได้ง่ายกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 6 เท่าเลยทีเดียว" ตรงนี้เอง ทำให้เหล่าบรรดาบริษัทขายตรงเอาตัวเลขตรงนี้มาใช้ เพราะว่าการสมัครสมาชิกเพื่อซื้อสินค้า และได้สิทธิพิเศษมากมายนั้น ทำให้เหล่าบรรดาลูกค้าเก่ากลับมาซื้อสินค้าเอง โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดลูกค้าใหม่

และอีกตัวอย่างที่ใช้ traffic อย่างคุ้มค่าก็คือ amazon.com ที่พวกเราคุ้นเคยกันนั่นเอง คนที่ขาย amazon จะรู้ดีว่า เวลาที่ส่ง traffic เข้า amazon บางครั้งก็ขายสินค้าหลักได้ และยังขายสินค้าที่เกี่ยวข้องได้อีก

มาถึงตรงนี้พอจะมองภาพออกกันบ้างมั๊ยครับ ส่วน อีเมลล์ที่เราจะส่งไปให้ลูกค้าที่เป็นข่าวสารนั้น ควรจะเป็นอีเมลล์แบบไหนดี ที่จะทำให้ลูกค้าเปิดอ่านทุกฉบับ โดยไม่พลาดเลยซักฉบับ เอาไว้ตอนหน้านะครับ บอกเลยครับว่า ใครพลาดจะเสียใจและเสียโอกาสอย่างแรง
>>>>>>>>>
จากครั้งที่แล้วผมบอกไปว่า newsletter ที่ส่งไปหาลูกค้าที่อยู่ใน list เรานั้น ให้เราพ่วงการขายของลงไปตอนท้ายด้วย ครั้งที่ 1 ลูกค้าอาจจะยังไม่ซื้อ ครั้งที่ 2 ลูกค้าอาจจะยังไม่ซื้อ แต่ว่าครั้งที่ 3 ลูกค้าอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ ก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสเสนอสินค้าของเราเท่ากับจำนวน newsletter ที่เราส่งไป ซึ่งจะต่างจาก PPC ยิงตรงไปที่เว็บเจ้าของสินค้า ตรงที่ PPC มีโอกาสแค่ครั้งเดียว แต่ newsletter มีโอกาสมากกว่าหลายเท่า

แล้วเราจะส่ง newsletter แบบไหนไปให้ลูกค้าดีล่ะ ลูกค้าถึงจะเปิดอ่านทุกครั้ง เพื่อจะเพิ่มโอกาสในการขายของเรา?

ถ้าใครที่รับ newsletter ก็จะรู้ดีว่า จะมีบางหัวข้อที่ถูกส่งมาแล้วอยากเปิดอ่าน แต่บางหัวข้อก็ไม่อยากเปิดอ่าน แน่นอนครับว่าถ้าเราทำให้ลูกค้าเปิดอ่านสิ่งที่เราส่งไป เท่ากับว่าเรามีโอกาสเสนอสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ครั้ง แต่ถ้าลูกค้าไม่เปิดอ่านล่ะ ก็เท่ากับว่าไม่มีโอกาส ลองคิดดูง่ายๆ เราส่งไป 10 ครั้ง แต่ลูกค้าเปิดอ่านแค่ 3 ครั้ง ก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสแค่ 3 ครั้งแทนที่จะเป็น 10 ครั้ง

ตอนคุณดูละครหลังข่าว คุณเคยสังเกตุมั๊ยว่าตอนท้ายของละครจะมี "ตัวอย่างตอนต่อไป" ให้เราดูเพื่อกระตุ้นต่อมแต๋วของความอยากที่จะดูตอนต่อไป บ่อยครั้งที่เวลาไปเดินตลาดแล้วได้ยินคนซื้อของพูดว่า "เดินเร็วๆ, ใส่ถุงเร็วๆ(ผู้ชายคงเคยโดนเร่งแบบนี้บ่อยๆ) จะรีบไปดูละคร... กำลังมันส์" สำหรับคนที่ติดละครก็จะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี จนบางครั้งต้องรีบทำอะไรให้เสร็จจะได้มานั่งดูละคร และถ้าตอนไหนไม่ได้ดูก็จะข้องใจอยากรู้ให้ได้ว่ามันมีเนื้อเรื่องเป็นยังไง

แล้วเราจะส่ง newsletter แบบไหนไปให้ลูกค้าดีล่ะ? ตำตอบก็คือ "ส่ง newsletter ที่เป็นแบบต่อเนื่อง คล้ายๆกับละครหลังข่าวนั่นแหล่ะครับ" ลองนึกภาพดูนะครับ ถ้าคุณได้รับ newsletter ที่เหมือนกับละครหลังข่าวที่คุณชอบ ส่งมา 10 ตอน คุณจะเปิดอ่านแค่ตอนที่ 1,2,6,10 รึเปล่า แน่นอนครับว่าถ้าคุณเปิดดูแค่นี้คุณก็จะเกิดความข้องใจ และดูละครไม่สนุกเพราะไม่รู้เรื่องแน่นอน ก็เลยต้องเปิดอ่านหมดทั้ง 10 ตอน และทุกครั้งที่อ่าน ตอนท้ายก็ตบท้ายด้วยการขายของตามสไตล์

มีเว็บไซต์อยู่เว็บนึง ก็ใช้เทคนิคการต่อเนื่องของ newsletter นี้เป็นการทำให้ลูกค้ากลายเป็นลูกค้าประจำของบริษัท เว็บนี้ขายสินค้าเกี่ยวกับการดูแลเด็กแรกเกิดจนถึง 10 ขวบ มีสินค้าครอบคลุมทุกรายการเกี่ยวกับเด็ก หลังจากที่ยิงตรงจาก PPC ไปที่เว็บนี้แล้ว ถึงแม้ว่าลูกค้าจะไม่ซื้อสินค้าในเว็บจากคีย์เวิร์ดที่ยิงตรงมาจาก PPC แต่ในเว็บไซต์นี้มีช่องที่เด่นมากๆ ให้กรอก Email และมีข้อความกำกับว่า

"กรอกอีเมลล์เพื่อรับคำแนะนำในการเลี้ยงเด็กสำหรับคุณแม่ป้ายแดง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 10 ขวบฟรี! เช่น เด็กอายุ 10 วันต้องเลี้ยงอย่างไร, ให้กินอะไร, คุณแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร โดยผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านการดูแลเด็กมากว่า 30 ปี"

พอลูกค้ากรอกอีเมลล์ไปแล้ว ทุกๆ 2 สัปดาห์ทางเว็บนี้ก็จะส่งอีเมลล์แนะนำสิ่งต่างๆไปให้ และแน่นอนครับคุณแม่ป้ายแดงก็จะมาเปิดอีเมลล์ดูบ่อยๆอย่างใจจดใจจ่อว่า เมื่อไหร่จะมีคำแนะนำส่งมาทาง newsletter เพื่อว่าจะได้ตอบคำถามในใจอะไรต่างๆ และแน่นอนครับว่า ก็ต้องตบท้ายด้วยขายของ แต่สินค้าที่เสนอในแต่ละครั้งก็จะเหมาะกับสถานการณ์นั้นๆตามอายุของเด็ก

มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงคิดในใจแล้วล่ะว่า แล้วเราจะขายสินค้าอะไรดีล่ะ ตอนต่อไปห้ามพลาดครับ มันอาจจะทำให้คุณฉีกกรอบของตัวเองและทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปเลยก็ได้

เห็นมั๊ยครับว่า ผมใช้เทคนิค "การต่อเนื่อง" มาทำให้คุณอยากจะติดตามตอนต่อไป

1. สร้าง Landing Page พวก Reviews สินค้าหรืออะไรก็ได้ขึ้นมา
2. เสร็จแล้วก็ยิงจาก PPC ไป Landing Page, ทำ SEO, เขียน Articles หรือจะอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็มีช่องให้กรอกพวก ฟรีวิธี..., ฟรีebook อะไรพวกนี้

ตัวอย่าง
1. hปปp://weight-loss-colon-reviews.com นี่เป็นเว็บพวก Reviews สินค้าแล้วก็มีช่องให้กรอกอีเมลล์เพื่อรับพวกของฟรี
1. hปปp://www.sherlockdata.net/facebook เว็บนี้แจก ebook ฟรี แต่ว่าต้องกรอกอีเมลล์ก่อนถึงจะได้ ebook นี่เป็นการเก็บ email อีกรูปแบบนึง
2. hปปp://www.losebodyweightquickly.com เว็บนี้ก็แจก ebook อีกเหมือนกัน แต่ต้องแลกกับ ema

>>>>>>



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คลังบทความของบล็อก

ClustrMaps

ค้นหาบล็อกนี้