
สุดยอดเทคนิค ตอน "เปลี่ยน keyword ไม่ทำเงิน ให้ทำเงินยังไงดี
สวัสดีครับทุกคน พอดีว่าเป็นน้องใหม่เข้ามาเก็บความรู้จากบอร์ดก็เยอะ ก็เลยอยากจะแบ่งปันบ้างครับ อยากจะบอกว่าบอร์ดนี้อบอุ่น ความรู้เยอะ และน่าอยู่มาก ก็เลยมาฝากเนื้อฝากตัวครับ เอาล่ะผมขอเริ่มตอบแทนบอร์ดเลยละกัน แต่ว่าก็เกร็งๆนิดนึง บอร์ดนี้เทพเยอะจริงๆ ---------------------------- ผมคิดว่าหลายคนคงจะเจอกับปัญหานี้นะครับ ที่ว่า หาคีย์เวิร์ดมาได้ แต่มันไม่ทำเงิน จะทำยังไงดี ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า โดยธรรมชาติของคนใช้ google เป็นแบบนี้ ลำดับที่ 1 Browse - จะใช้คีย์เวิร์ดทั่วๆไปประมาณ 1 - 2 คำ ค้นหาสิ่งที่เค้าต้องการ เช่น used car, hdtv อะไรประมาณนี้ ซึ่งพวกนี้จะเป็นคีย์เวิร์ดแบบ Mass ซึ่งส่วนมาก conversion จะน้อยมาก ลำดับที่ 2 Compare - เค้าก็จะใช้คีย์เวิร์ดที่หลายคำหน่อยในการเปรียบเทียบสินค้าครับ เช่น compare used car อะไรประมาณนี้ คีย์เวิร์ดแบบนี้จะมี conversion เพิ่มขึ้นอีกนิดส์นึง อันดับที่ 3 Buy - นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้า หรือที่พวกเราเรียกกันว่า "ปิดการขาย" นั่นเองครับ ซึ่งคีย์เวิร์ดพวกนี้จะเป็นคีย์เวิร์ดที่มี conversion ที่สูงมาก และจะประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ด 3 - 5 พยางค์ ด้วยกัน หรือที่พวกเราเรียกกันว่า niche long tail คีย์เวิร์ดพวกนี้ พวกเรามักจะหากันเอาเป็นเอาตาย เลยทีเดียว แต่ที่น่าแปลกใจคือ คู่แข่งน้อยมาก (บางทีมีผมโฆษณาอยู่คนเดียว เหงาเลย) คราวนี้เราจะมาดูว่า เจ้าตัวคีย์เวิร์ดที่มี conversion น้อยๆในข้อ 1 นั้น เราจะทำให้มันเป็นคีย์เวิร์ดทำเงินได้ยังไง ลองคิดนอกกรอบครับ มันไม่ใช่แค่เราโฆษณาใน adwords แล้วส่งลูกค้าไปที่หน้าของเจ้าของสินค้าเท่านั้น ลองเปลี่ยนเป็น google --> landing page ที่ประกอบด้วย บอกเพื่อนเกี่ยวกับเว็บนี้, ใส่อีเมลล์ของคุณเพื่อรับข่าวสารฟรี พวกนี้ทำเงินได้หมดเลยครับ ขึ้นอยู่กับมันจะใช้ยังไง สมมตินะครับสมมติ สมมติว่า เดือนที่ 1 - นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000 - นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้ 1,000 คน โดยขายสินค้าไม่ได้เลย เดือนที่ 2 - นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000 เหมือนเดือนที่ 1 - นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้อีก 1,000 คน รวมฐานข้อมูลลูกค้าเป็น 2,000 คน และดูแลลูกค้าด้วยข่าวสารที่ลูกค้าชอบ สุดท้ายขายสินค้าแค่ 1 ชิ้น แต่รวมรายได้ $500 ในเดือนนั้น เดือนที่ 3 - นาย bmw ส่ง traffic ไปที่เว็บเจ้าของสินค้าโดยตรง โดยใช้คีย์เวิร์ด niche long tail(ที่ส่วนมากมันจะเป็นคีย์เวิร์ดทำเงิน) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 --> รายได้ $1,000 เหมือนเดือนที่ 1 - นาย wmb ส่ง traffic ไปที่ landing page โดยใช้คีย์เวิร์ดแบบ Mass(ที่ส่วนมากเค้าจะใช้ค้นหาข้อมูลเฉยๆ) มี traffic 10,000 ครั้ง/เดือน เสียค่าใช้จ่าย $100 แต่นาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าได้อีก 1,000 คน รวมฐานข้อมูลลูกค้าเป็น 3,000 คน และดูแลลูกค้าด้วยข่าวสารที่ลูกค้าชอบ สุดท้ายขายสินค้าเพิ่มเป็น 10 ชิ้น แต่รวมรายได้ $10,000 ในเดือนนั้น ลองคิดดูนะครับ ถ้านาย wmb เก็บข้อมูลลูกค้าไปเรื่อยๆ แล้วมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ใหญ่มาก แล้วเค้าขายสินค้า 100 ชิ้น มันจะเกิดอะไรขึ้น คือแนวคิดนี้ผมเอามาจาก Robert T Kiyosaki ครับ คนที่เขียนหนังสือชุด "พ่อรวยสอนลูก" เค้าบอกว่า "คนรวยมองหาเครือข่าย ในขณะที่คนทั่วไป มองหางานทำ" ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราทำแบบที่เราเคยทำกันรวมทั้งผมด้วย คือส่งลูกค้าไปที่เว็บเจ้าของสินค้าทุกเดือนๆ มันเปรียบเหมือนผมเป็นร้านค้าทั่วๆไป ที่ต้องทำงานหนักทุกวันๆ ตื่นเช้าเปิดร้าน เฝ้าร้าน ค่ำปิดร้าน นี่คือสิ่งที่เราเห็นกันทุกวันแต่ไม่เคยเอะใจเลย แต่ลองดู 7-Eleven สิครับ เค้าก็เป็นร้านค้าเหมือนกัน แต่ผมถามว่า บริษัท 7-Eleven เค้าขายสินค้าที่อยู่ในร้าน หรือว่าเค้าขายระบบ 7-Eleven เพื่อสร้างเครือข่ายให้เค้า ลองคิดดูดีๆนะครับว่า - 7-Eleven จะต้องมาง้อคุณเพื่อเอาสินค้าของคุณไปขาย หรือ... - คุณต้องไปง้อ 7-Eleven ให้เอาสินค้าของคุณไปขาย คุณลองคิดดูนะครับว่าตอนนี้ 7-Eleven มีกี่สาขาทั่วประเทศไทย - ถ้าคุณเอาลูกอมเม็ดละ 1 บาทไปวางที่ 7-Eleven สมมติว่า 1,000 สาขา เฉลี่ย 1 ชม. ขายได้สาขาละ 1 เม็ดก็เท่ากับ 1 x 1,000 = 1,000 บาท - ถ้าคิดเป็น 1 วันก็จะเท่ากับ 24ชม. x 1,000 = 24,000 บาท ต่อวัน - 1 เดือนเท่ากับ 24,000 x 30วัน = 720,000 บาท ต่อเดือน พระเจ้าจอร์จ คุณขายลูกอมเม็ดละ 1 บาท ได้ยอดขายเดือนละ 720,000 บาท/เดือน นี่แค่ลูกอมเม็ดละ 1 บาทนะครับ แล้วถ้าเป็นชาเขียวขวดละ 20 บาทจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนที่สินค้ายังไม่ขึ้นราคา ผมรู้มาว่าต้นทุนของชาเขียวแค่ขวดละ 3 บาทด้วยซ้ำไป(ถ้าผิดขออภัย) มาถึงตรงนี้คุณเห็นพลังของการมีเครือข่ายอยู่ในมือรึยังครับ ตอนนี้เราเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของ 7-Eleven แล้วนะครับ ถ้าคุณมีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือ 1 คน เท่ากับคุณมี 7-Eleven 1 สาขาแล้ว ผมเชื่อว่านักการตลาด 1 คนหาข้อมูลลูกค้า 1,000 คนไม่ใช่เรื่องยาก อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่มันก็คุ้มค่ามากเลยครับ จริงๆแล้วผมมีวิธีที่ไม่ต้องเสียเงินค่า PPC อีกด้วย เรียกกว่ายืมมือคนอื่นเอาข้อมูลลูกค้ามาให้เรา โดยที่เราเหนื่อยทีเดียว ทั้งเราทั้งลูกค้าทั้งคนที่ทำงานให้เรา แฮปปี้หมดทุกฝ่าย ลองดูที่เว็บเจ้าของสินค้า clickbank สิครับ บางเว็บจะมีให้กรอกข้อมูลเพื่อรับข่าวสารฟรีอีกด้วย นี่ไง ยืมมือคนอื่นหาข้อมูลลูกค้าให้เรา และข้อดีของ Email Marketing ก็คือว่า (เปิดเผยซะแล้วว่ามันคืออะไร) เราสามารถนำเสนอโฆษณาของเราที่พ่วงท้ายไปกับบทความดีๆ ได้หลายครั้ง - นำเสนอครั้งที่ 1 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า - นำเสนอครั้งที่ 2 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า - นำเสนอครั้งที่ 3 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า - นำเสนอครั้งที่ 4 อ่านบทความที่ชอบ ลูกค้าไม่สนใจสินค้า - นำเสนอครั้งที่ 5 เอ๊ะ เห็นบ่อยแล้ว มันเป็นยังไง ลองคลิกเข้าไปดูซิ โอ๊ว งั้นๆแหละ ไม่เอาดีกว่า (ลูกค้าเข้าไปดูเว็บ browser เก็บ cookie ได้ xx วัน) - นำเสนอครั้งที่ 6 ลูกค้าเบื่อและ ยกเลิกการรับข่าวสารจากเรา - xx วันต่อมา ลูกค้าตื่นเช้ามาอากาศหนาว ไม่สบาย นึกได้ โอ๊ว จำได้ว่าเมื่อ xx วันที่แล้ว เข้าเว็บขายวิตามินซีนี่นา แล้วเค้าบอกว่า มันช่วยให้ดีขึ้นจากอาการไข้หวัดได้ เข้าไปซื้อดีกว่า พอลูกค้าเข้าไปในเว็บ แล้วเว็บนั้นมี cookie ของ aff id ของเราพอดี ลูกค้าซื้อสินค้า สุดท้ายเราได้ตังค์ โปรดติดตามตอนต่อไป... ---> แล้วเราจะส่ง newsletter แบบไหนไปให้ลูกค้าดีล่ะ ลูกค้าถึงจะเปิดอ่านทุกครั้ง เพื่อจะเพิ่มโอกาสในการขายของเรา? | ||||||||
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น